
วันนี้เราขอแนะนำ การปรับ ฮวงจุ้ยสำหรับ ออฟฟิศ สำนักงาน ให้ธุรกิจไม่มีอุปสรรค เจริญรุ่งเรือง ไม่ติดขัด กิจการก้าวหน้า แบบฉุดไม่อยู่ วิธีการปรับ ฮวงจุ้ยออฟฟิศ สำนักงาน ตามหลักตำรา ฮวงจุ้ย มีดังต่อไปนี้
1.สีที่ใช้ในสำนักงาน ต้องมีความสมดุลกันกับทุก ๆ ธาตุ เช่น สีแดงของธาตุไฟ สีเขียวของธาตุไม้ สีเหลืองของธาตุดิน สีดำของธาตุน้ำ และสีขาวของธาตุเหล็ก หากสำนักงานใช้สีตกแต่งให้มีความสมดุลเข้ากันกับทุกธาตุแล้ว จะทำให้กิจการก้าวหน้า
2.ตำแหน่งตรงมุมห้อง ซึ่งทแยงกับประตูทางเข้าห้องทำงาน เป็นตำแหน่งที่ดีสำหรับการตั้งโต๊ะทำงานของผู้บริหาร เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุด
3.ของตกแต่ง ควรวางรูปปั้นเสือสีขาว ไว้ในตำแหน่งของมุมทรัพย์ มุมทรัพย์จะอยู่มุมซ้ายมือสุดของห้องทำงาน (หันหน้าเข้าห้อง)
4.การจัดวาง หากในออฟฟิศมีโต๊ะทำงานหลายตัว เพราะมีพนักงานหลายคน ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการหันโต๊ะในทิศทางสลับกัน ควรให้ไปในทิศทางเดียวกัน และไม่ควรจัดโต๊ะทำงานให้อยู่ตรงมุมเสา เพราะเป็นตำแหน่งที่ไม่ดี นั่งแล้วจะเกิดเรื่องไม่ดี การทำงานติดขัด
5.สัดส่วนของห้องทำงาน ห้องทำงานส่วนตัวที่แบ่งเป็นสัดส่วน เช่น ห้องผู้บริหาร ห้องของผู้จัดการ ควรตั้งรูปปั้นมังกรไว้ที่ริมผนัง หันหน้าออกนอกห้อง อย่าหันเข้าหาตัว จะส่งผลดีต่อกิจการ มีความมั่นคง เจริญรุ่งเรือง
6.ข้อห้าม ไม่ควรตกแต่งโต๊ะ หรือ ออฟฟิศ ด้วยรูปภาพ รูปปั้น ของรูปสัตว์ทีอยู่ในสิบสองนักกษัตร เพราะตามตำราเชื่อว่า หากมีลูกค้ามีติดต่อ แล้วปีนักกษัตรไม่ถูกกัน หรือชงกัน จะเกิดผลเสียกับการงาน
6 วิธีนี้เป็นแค่เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ของการเสริม ฮวงจุ้ยให้ดีขึ้น กิจการก้าวหน้าขึ้น แม้แต่บริษัทที่ติดอันดับโลก อย่าง Google ทุกๆ สาขา Google จะมีซินแสไว้สำหรับดู ฮวงจุ้ยก่อนเสมอ แต่การจะให้กิจการประสบความสำเร็จนั้น เราเชื่อว่า ปัจจัยจากตัวของบุคคล มีความสำคัญมากกว่าอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ พนักงาน ลูกจ้าง หากต้องการความก้าวหน้า ต้องมีความรัก ตั้งใจในงานที่ทำ มีความพยายามไม่ย่อท้อ และที่สำคัญต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง สองสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน
บ้านต้องมีการดูแลรักษา บ้านคือ ที่พักพิงอันอบอุ่นและเป็นที่พักยามเหนื่อยล้า
การเรียนรู้ที่จะรักษาดูแลบ้านเพื่อชะลอการเสื่อมสลายรวมทั้งประหยัดเงินด้วยจึงเป็นเรื่องที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านควรใส่ใจเป็นพิเศษ
ขั้นตอนการทำงานในการดูแลบ้านให้ดูดี
ขั้นตอนที่ 1
สภาพแวดล้อมของบ้าน ฝุ่นละออง แสงสว่าง ความร้อนและความชื้น
ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลกระทบต่อสภาพของการตกแต่งในบ้าน
ถ้าไม่ระวัง ข้าวของต่างๆ มีสิทธิ์ที่จะเสื่อมสภาพไปได้เหมือนกัน เช่น
แสงแดดที่มากเกินไปมักเป็นอันตรายต่อวัสดุตามธรรมชาติทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้ ผ้า
สีย้อมตามธรรมชาติทุกชนิดและกระดาษ จึงควรหลีกเลี่ยงพยายามไม่ให้ภาพวาด
เฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือผ้าม่านสวยๆ ต้องถูกแสงแดดโดยตรง
โดยการหามู่ลี่มาปิดกันแสงไว้เสีย
ขั้นตอนที่ 2
สัตว์นำโรคและแมลงไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
คงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกหนี บรรดาสัตว์นำโรคต่างๆ เช่น หนู แมลงสาบ แมลงกินผ้า มด
ยุง วิธีหนึ่งที่พอจะรับมือกับบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็คือ
การหมั่นดูดฝุ่นและทำความสะอาดบริเวณเหล่านี้ให้ดีหมั่นตรวจสอบรอบๆ บ้าน
เมื่อพบเจออะไรที่ผิดปกติก็ควรรีบหาทางแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ
แต่การกำจัดแมลงหรือสัตว์ในบ้านบางชนิดอาจต้องใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย
หากสุดความสามารถจริงๆ แล้วก็อาจต้องพึ่งบริษัทกำจัดแมลง
ขั้นตอนที่ 3
ดูแลของเก่าในบ้าน สิ่งที่เป็นศัตรูสำหรับของเก่าในบ้านก็คือ
สภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งมีหลักง่ายๆ ว่าอย่าให้อากาศโดยรอบแห้งจนเกินไป
อย่าให้ถูกแสงแดดตรงๆ โดยตั้งไว้ในที่ที่จะถูกกระทบได้น้อยที่สุด
ไม่ว่าจะโดนคนหรือของตกแต่งชิ้นอื่นและเคลื่อนย้ายหรือจับต้องอย่างเบามือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับของที่บอบบางหรือแตกได้ง่าย
ขั้นตอนที่ 4
เฟอร์นิเจอร์ไม้ ควรจัดวางเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้ถูกที่
โดยไม่ให้อยู่ใกล้แหล่งความร้อนหรือตั้งบนพื้นที่เปียกชื้น
แต่ควรตั้งในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และมีอุณหภูมิของอากาศที่ค่อนข้างคงที่
ถึงแม้จะเป็นไม้เก่าแค่ไหนก็ต้องระวังเรื่องแสงสว่างให้มาก อย่าให้ถูกแสงแดด
แสงสปอตไลท์ และแสงจากโคมไฟโดยตรง
รอยขีดข่วนของข้าวของที่วางบนเฟอร์นิเจอร์ไม้และรอยหยดน้ำต่างๆ เหล่านี้
ล้วนมีผลต่อความงามของเนื้อไม้ทั้งสิ้น
ทางที่ดีควรจัดหาแผ่นรองแก้วและสิ่งของอื่นๆเพื่อไม่ให้สัมผัสกับพื้นผิวของไม้โดยตรง
และปัดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้แมลงมาอาศัยเจาะกินเนื้อไม้ได้
ขั้นตอนที่ 5
ภาพวาดทั้งภาพสีน้ำและสีน้ำมันซึ่งจะมีองค์ประกอบของภาพจำพวกไม้
ผ้าใบ สีฝุ่น น้ำมันเคลือบเงา ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตามอุณหภูมิที่ขึ้นลง ภาพสวยๆ
อาจจะหดงอ บิดเบี้ยวหรือแตกได้ถ้าได้รับความร้อนมากเกินไปเพราะฉะนั้นควรแขวน
ขอบคุณข้อมูลจาก learnersดอทไอเอ็นดอนทีเฮท

บางครั้งบางเรื่องปัญหาภายในบ้านของคุณอาจจะเป็นปัญหาที่คุณก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าใช้วิธีแบบนี้ก็แก้ปัญหาได้ วันนี้เราจึงมีคำแนะนำกลเม็ดเคล็ดลับวิธีการจัดการปัญหาภายในบ้านมาแนะนำ
1. หาก โรงรถ ของคุณมีกลิ่นอับ ลองขจัดกลิ่นด้วยการโรยหญ้าที่เพิ่งตัดมาใหม่ ๆ (เป็นหญ้าที่ใช้กรรไกรตัดหญ้าหรือเครื่องตัดหญ้าตัดนะครับไม่ใช้ขุดเอามาพร้อมรากพร้อมดินแบบนั่นใช้ไม่ได้นะครับ) ลงบนพื้นโรงรถ แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ต้นหญ้าจะดูดเอากลิ่นอับในโรงรถออกไปจนหมด
2. ถ้าต้องการ อบผ้า 2-3 ชิ้นให้แห้งเร็วขึ้น ทำได้โดยหาผ้าขนหนูสะอาด ๆ ใส่ลงไปในเครื่องด้วยเพราะผ้าขนหนูจะไปช่วยดูดซับความชื้นทำให้ผ้าแห้งเร็วขึ้นอีก
3. วิธีทำให้ กรอบกระจกเงาหรือกรอบกระจกรูปภาพมองดูใหม่เสมอ ทำได้โดยการใช้ผ้าชุบน้ำมันสน แล้วทาบริเวณกรอบไม้ รอจนแห้งสนิท กรอบจะมองดูใหม่ทันที
4. วิธี ล้างคราบสกปรกที่แก้วเจียระไน ทำง่าย ๆ คือหาเปลือกฝรั่งใส่ลงไปในแก้วเจียระไน แช่ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้แก้วจะดูใสสะอาด
5. วิธี ทำความสะอาดเครื่องเคลือบที่ทำด้วยทองเหลือง มีวิธีการทำง่าย ๆ คือนำเอาหัวหอมมาต้มในน้ำเดือด แล้วนำมาขัดลงบนเครื่องเคลือบเพียงเท่านี้เครื่องเคลือบจะมองดู ใหม่สะอาดหมดจดทีเดียว
6. วิธีการ ขจัดคราบไขมันที่ติดรอบท่ออ่างล้างจาน ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะเป็นเหตุให้ท่ออุดตันได้ มีวิธีทำคือ นำเกลือแกงใส่ลงไปในท่อ 2-3 ช้อน จากนั้นนำเบกกิ้งโซดาหรือผงฟูต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงไป ไขมันที่อุดตันก็จะหลุดออกไปหมด
7. วิธี ขจัดพวกมดแมลงมาขึ้นถังขยะ ทำได้ง่าย ๆ โดยหยดแอมโมเนียลงข้าง ๆ ถังขยะ สักเล็กน้อย กลิ่นแอมโมเนียจะทำให้มดแมลงไม่กล้าเข้ามาใกล้ถังขยะอีก
8. การ รักษาเครื่องมือทำสวนที่เป็นโลหะไม่ให้ผุกร่อน ได้ง่ายมี วิธีการรักษาโดยใช้วาสลินทาผิวของโลหะทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จแล้ว และนำมาทำความสะอาดอีกครั้ง
9. การ ใช้เตาแก๊สแบบประหยัด ทำได้โดยปรับเปลวไฟให้เป็น้ำเงินเสมอ และไม่ควรเปิดไฟแก๊สให้สูงกว่าก้นหม้อด้วยจะทำให้หม้อร้อนช้า ควรปรับระดับให้พอดีกับก้นหม้อ
10. วิธี ดับกลิ่นเหม็นในถังขยะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้านหรือในบ้านให้หมดกลิ่นได้ทำได้โดยใส่เปลือกมะนาว หรือเปลือกส้มเขียวหวาน ส้มโอก็ได้ใส่ลงไปในถังขยะ กลิ่นส้มจะไปลดกลิ่นลงทำให้มีกลิ่นน้อยลง

วันนี้เราจะมานำเสนอหลักการ วิธีการที่ใช้ในการตกแต่งห้องนั่งเล่น ว่ามีหลักการพื้นฐานในการตกแต่งห้องเล่นยังไงบ้าง เผื่อว่าบางท่านที่ยังจับจุดไม่ได้ ว่าจะเริ่มตกแต่งตรงไหนก่อนหลังดี และต้องคำนึงถึงอะไรเป็นหลักหรือเปล่า
ห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขกนั้น โดยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นห้องที่ไว้ใช้ต้อนรับผู้คน อาจจะเป็นที่ร่วมของสมาชิกในบ้านเอง หรือญาติ หรือจะเป็นเพื่อนฝูงมาพบปะสังสรรค์กัน
ดังนั้นอย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือ การจัดวางเป็นอันดับแรก ในการจัดวางตำแหน่งของโต๊ะโซฟา เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ นั้นต้องไม่เกะกะไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่อาจจะใช้เป็นทางเดินหรือบริเวณที่จะวางโต๊ะ ต้องสามารถเคลื่อนย้ายได้ และเมื่อมีกลุ่มคนมากขึ้นก็ต้องสามารถเสริมเก้าอี้ได้ เรียกว่าเป็นการจัดที่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในการตกแต่งห้องนั่งเล่น
อย่างที่บอกในขั้นต้นว่า ต้องสามารถเคลื่อนย้ายได้ เพื่อให้สอดคล้องกันเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นควรจะมีขนาดกลาง ไม่หนักเกินไป เลือกโซฟาที่นั่งสบาย เหมาะกับการนั่งได้นานๆ รูปแบบเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น แล้วแต่ความชื่นชอบของเจ้าของบ้าน แต่ต้องไม่ดูขัดแย้งกันมากเกินไป
โทนสีในการตกแต่งนั้น ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนเป็นหลัก อาจจะเป็นสีสันสดใส หรือสีอ่อนๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอบอุ่น
ทั้งนี้การตกแต่งห้องนั่งเล่นนั่น ควรจะดูตามพฤติกรรมและกิจกรรมของสมาชิกในบ้านด้วย ว่าเน้นไปในทางใด เช่น หากห้องนั่งเล่น มีโฮมเธียเตอร์ในตัว ก็ควรเลือกวัสดุทำผนังที่ดูดซับเสียงได้ จะได้ไม่เป็นที่รบกวนเพื่อนบ้าน
ทิศทางของแสงก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ในการจัดวางตำแหน่งของใช้ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ ชุดเครื่องเสียง ควรหลีกเลี่ยงการวางในตำแหน่งที่หันไปด้านที่แสงเข้ามา แสงภายในห้อง อาจใช้แสงให้ความสว่างทั่วไป หรือแสงไฟซ่อนผนัง แสงจะช่วยสร้างบรรยากาศในห้องได้เป็นอย่างดี อยู่ที่ว่าต้องการให้บรรยากาศเป็นเช่นไร

หลังจากที่เราเคยแนะนำวิธีการกำจัดปลวกไปแล้วครั้งหนึ่งในหัวข้อ Fixit Recommend: บ้านปลอดปลวก คราวนี้จะขอแนะนำเพิ่มเติมอีกสักหน่อยนะครับ
ปลวก อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ว่าบ้านจะสร้างด้วยไม้หรือปูน ปลวกสามารถเข้าไปได้ในตัวอาคารได้ทั้งนั้น โดยเข้ามา ตามรอยต่อของอาคาร รอยแตกร้าวของผนัง ก่ออิฐ ฉาบปูน รอยร้าวของไม้ แทรกตัวเข้าไปในเสาโรงรถ ที่พอกเอาไว้ด้วยอิฐก่อ ฉาบปูน เข้าไปในกล่องซ่อนท่อโดยอาศัยเป็นเส้นทางเดินสอดแทรกตัวมาตามบัวเชิงผนัง หรืออาศัยสายไฟเป็นทางเดิน เป็นต้น
การป้องกันปลวกในอาคารระหว่างก่อสร้าง จะต้องกำจัดปลวกที่ต้นตอ โดยทำก่อนจะปิดพื้นชั้นล่าง ด้วยการอัดน้ำยาตาม แนวคานด้านใน ใช้หัวฉีดน้ำยาอัดน้ำยาลงใต้ดิน ให้ห่างจากแนวคานด้านใน 6" ถึง 8" ระยะห่าง กัน 18" ตลอดแนวคานด้าน ในทุกด้าน ฉีดเคลือบน้ำยาที่ภายในทั้งหมดแบบปูพรมทุกตารางนิ้ว เพื่อให้น้ำยาซึมลงไปประสานกับน้ำยาซึ่งได้อัดไว้แล้วใน ระดับใต้คาน และอัดน้ำยาตามแนวคานด้านนอก ห่างกัน 18" ตลอดแนวคานด้านนอก
นอกจากวิธีฉีดน้ำยาลงในดินแล้ว ยังมีการกำจัดปลวกแบบระบบวางท่อ ซึ่งจะมีการวางท่อโดยรอบ เป็นท่อพีวีซีหรือท่อ พีอีสีดำ วางในแนวคานคอดินทั้งหมด เจาะรูตรงท่อ เพื่อติดตั้งตัวสปริงเกอร์ แต่ละตัวห่างกันประมาณ 50-80 ซม. โดยรอบแนว คานคอดินภายในอาคารทั้งหมด แล้วใช้เครื่องอัดน้ำยาเคมีผ่านท่อ PIPE เป็นละอองฝอยด้วยแรงอัด 25-30 ปอนด์ ซึ่งวิธีนี้ จะมี ประโยชน์คือไม่ต้องเจาะพื้น เมื่อต้องการกำจัดปลวกภายหลัง
โดยส่วนใหญ่ บริษัทกำจัดปลวก จะมีการรับประกัน 3 ปี และแต่ละปี จะเข้ามาตรวจสอบ ประมาณ 3 ครั้ง หรือทุก 3 เดือน แล้วแต่กรณี

วิธีแก้ปัญหาผนังรั่วซึม
เมื่อผ่านพ้นช่วงฤดูร้อนไปแล้ว ฤดูที่กำลังใกล้เข้ามาถึงก็คือฤดูฝน หลายๆ พื้นที่ในประเทศก็ได้รับฝนตกหนักกันไปบ้างแล้วในช่วงนี้ และแน่นอนว่าปัญหาที่สร้างความหนักใจให้กับเจ้าของบ้านอย่างหนึ่งในช่วงของฝนตกบ่อยๆ อย่างนี้คือ ปัญหาผนังรั่วซึม เมื่อผนังรั่วซึม สิ่งที่ตามก็คือ เชื้อรา รอยกระด่างกระดำ ตะไคร้ ติดตามผนังบ้าน ทำให้บ้านที่เคยสวยงาม กลับไม่น่าดูชมสักเท่าไร ผนังรั่วซึมมีสาเหตุมาจาก ตอนที่ก่อสร้าง มีการก่อฉาบผนังได้ไม่ดีพอ กรรมวิธีการก่อสร้างไม่ถูกต้อง ไม่มีการติดตั้งระบบกันการรั่วซึม ทำให้เกิดเป็นรอยร้าวแตกที่ผนัง หรือเกิดจากสภาพอายุการใช้งานแต่ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางออก มีวิธีแก้ไข วิธีแก้ปัญหาผนังรั่วซึมมีดังต่อไปนี้
1.สำหรับบ้านใหม่ ที่กำลังก่อสร้าง ต้องควบคุมการก่อสร้างให้ดี ตรวจสอบการฉาบผนังให้มีความเรียบร้อย ให้ถูกต้องตามขั้นตอน ปัญหาของผนังไม่เพียงแค่การรั่วซึม ยังมีปัญหาการแตกลอกร่อน ของสีและผิวปูน ส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมปูนและทราย ในอัตราส่วนที่ไม่เหมาะสม การเลือกช่างหรือผู้รับเหมาที่มีความชำนาญการ ไว้ใจได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างบ้านใหม่ แต่แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ที่จะหาได้ หากคุณไม่ได้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว ทั้งนี้ การไม่จู้จี้จุกจิกจนเกินไปของเจ้าของบ้าน ก็เป็นหลักจิตวิทยาเล็กๆน้อยๆ สร้างความพึงพอใจต่อกันและกัน ผลงานดีๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย
2.สำหรับบ้านเก่า ต้องแก้ที่ปลายเหตุ โดยการทำความสะอาดรอยร้าวนั้น ฉีดสารเชื่อมประสาน เข้าไปในรอยร้าว แล้วทาด้วยวัสดุกันซึม ทาทับ 2 รอบ จากนั้นทำการทาสีผนังใหม่ ให้สวยงาม แต่หากจะทำใหม่บางส่วน ต้องรื้อผนังบางส่วนที่ติดกับคานนั้นออก แล้วก่ออิฐใส่เข้าไปใหม่ แล้วจึงฉาบปูนทับอีกชั้นหนึ่ง ที่สำคัญต้องใส่ใจกรรมวิธีการทำเป็นพิเศษ ฉาบผนังให้ดี เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยเดิมอีก

ผนังเบาคืออะไร
ผนังเบาก็คือผนังที่ทำขึ้นโดยไม่ต้องมีคานรองรับใต้พื้น เป็นวัสดุเบาๆ มีน้ำหนัก 30-40 กิโลกรัมต่อตารางเมตร นิยมใช้ทั้ง ภายในและภายนอกอาคาร ตัวอย่างเช่น ผนังอีเตอร์แพน บอร์ด
อีเตอร์แพน บอร์ด เป็นไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ด ใช้งานได้หลากหลาย เช่น ผนังภายนอกใช้ความหนาที่ 6, 7.5, 9 และ 12 มม. ตามแต่ละสภาพของงาน สามารถตัดแผ่นให้ได้ขนาดตามที่ต้องการได้ เว้นรอยต่อ 3-5 มม. รอยต่อใช้โพลียูริเทนยาแนว ก็จะเป็น ผนังเบาที่สวยงามได้
หรืองานผนังภายใน สามารถใช้ความหนาที่ 5.5, 6, 7.5 และ 9 มม. ตีชิดฉาบเรียบด้วยผงยิบซั่มและปลาสเตอร์ ไม่ต้อง เว้นรอยต่อระหว่างแผ่นเรียบสนิทไร้ร่องรอย เก็บหัวสกรูได้สวยงาม เป็นทั้งผนังเก็บเสียง กันไฟปลอดภัยจากมอด ปลวก และ เชื้อรา
นอกจาก แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดแล้ว ยังมีวัสดุแผ่นอีกหลายชนิดในท้องตลาด เช่น ยิบซั่มบอร์ด ไม้อัด กระเบื้องแผ่นเรียบ สามารถเลือกใช้ได้โดยไม่ต้องทำคานรองรับใต้พื้น การจะใช้วัสดุอะไร ขอให้ดูข้อมูลวัสดุนั้นๆ ว่ากันปลวก กันมอด กันน้ำ ได้ดีเพียงใด การยึดโยงติดตั้งทำอย่างไร มีความคงทนได้ดีเพียงใด เพื่อนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการเลือกใช้ วัสดุนั้นๆ กับบ้านคุณ

ซิลิโคน เป็นสารเอนกประสงค์ที่ใช้ในงานก่อสร้างและงานทั่วไป ไม่ว่าสารเหล่านั้นจะเรียกว่าอะไร เรามักจะเรียกว่า ซิลิโคน เสมอๆ จึงขอแนะนำดังนี้
ซิลิโคน มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปมากกว่า 100 ชนิด มีความสามารถในการ ยึดเกาะกับกระจกได้ดี ทนน้ำได้ดี ทนสารเคมี เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ ได้ดี แต่ใช้กับงานปูนได้ไม่ดีเท่าไหร่นักและทาสีทับไม่ได้
ซิลิโคน จึงเหมาะกับงานภายใน เช่น ใช้ยาแนวห้องน้ำ แต่มีข้อเสียตรงคุณสมบัติในการ ดูดฝุ่นเข้ามาง่ายๆ จึงต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณรอยต่อเหล่านี้เป็นพิเศษ
อะครีลิก ยืดหยุ่นตัวได้ดีมาก เกาะเกี่ยวกับคอนกรีตไม่ดีนัก ทาสีทับได้ นิยมใช้กับงานกระจกอลูมิเนียม
โพลียูริเทน ยึดเกาะกับคอนกรีตได้ดี ยืดหยุ่นตัวสูง ทนแสงอาทิตย์ เนื้อแข็งกว่าซิลิโคน ไม่ดูดฝุ่น ไม่เกิดเชื้อรา ทาสีทับ ได้ทันที จึงนิยมมาใช้กับรอยต่อของอาคารที่มาชนกับระหว่างอาคารเดิมกับอาคารใหม่
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ยาแนว จึงต้องดูจุดประสงค์ให้ชัดว่าจะนำไปใช้เพื่ออะไรใช้ภายในหรือภายนอก จำเป็นต้องกันน้ำ หรือไม่ ต้องการทาสีทับหรือไม่ แล้วเลือกวัสดุให้ถูกต้องกับวัตถุประสงค์
ส่วนการปฏิบัติก่อนการใช้ ต้องปฏิบัติเหมือนๆ กันทุกผลิตภัณฑ์ คือ
1. บริเวณที่จะอุดยาแนวต้องสะอาด ปราศจากฝุ่นผง คราบน้ำมัน และคราบสกปรกต่างๆ
2. ต้องแห้ง ไม่มีน้ำ ไม่มีความชื้น
3. ผิวงานต้องราบเรียบพอสมควร
4. บริเวณที่จะอุดยาแนวต้องสกัดให้ความกว้าง-ยาว ได้สัดส่วน เช่น กว้าง 2 ซ.ม. ลึก 1 ซ.ม.